แก่นตะวัน หรือ ทานตะวันหัว
(เป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ) หรือที่เป็นชื่อเรียกภาษาไทยว่า “แห้วบัวตอง”
แก่นตะวัน ภาษาอังกฤษ Jerusalem artichoke (เจรูซาเล็ม อาร์ติโช้ก), Sunchoke (ซันโช้ก), Sunroot, Earth Apple,
Topinambour
แก่นตะวัน ชื่อวิทยาศาสตร์ Helianthus tuberosus L. จัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในทวีปอเมริกาเหนือ
และต่อมาภายหลังจึงแพร่หลายไปยังสหรัฐอเมริกาและทางยุโรป
สมุนไพรแก่นตะวัน กับความเป็นมาในบ้านเรา
ต้นแก่นตะวันได้มีการนำต้นแก่นเข้ามาปลูกเมื่อปี พ.ศ.2539
ต่อมา รศ.ดร.สนั่น จอกลอย
อาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
ก็ได้นำสายพันธุ์แก่นตะวันเข้ามาทดลองปลูกจำนวน 24 สายพันธุ์ และทำให้การวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์มาเรื่อย ๆ
จนพบว่า สายพันธุ์ KKU Ac 008 สามารถให้ผลผลิตของหัวสดถึงไร่ละ
2-3 ตัน
ภายหลังจึงได้มีการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “แก่นตะวัน” (สนั่น,2549)
แก่นตะวันสมุนไพร ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก
เนื่องจากเป็นพืชที่มีประโยชน์สารพัด เพราะในหัวแก่นตะวันจะมีสารสำคัญชนิดหนึ่ง
นั่นก็คือ อินนูลิน (Inulin) ซึ่งเป็นน้ำตาลเชิงซ้อน
มีโมเลกุลของน้ำตาลต่อกันเป็นห่วงโซ่มากกว่า 10 โมเลกุล
ด้วยลักษณะที่โดดเด่นของสารชนิดนี้มันจึงกลายเป็นอาหารที่เส้นใยสูง
และจะไม่ถูกย่อยในกระเพาะอาหารและลำไส้ของเรา
จึงเท่ากับว่าสารอินนูลินเดินทางผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ของเราไปเฉย ๆ
แถมยังไม่มีแคลอรี่แต่อย่างใด มันจึงเหลือไปถึงลำไส้ใหญ่
แล้วกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียในกลุ่มที่มีประโยชน์
(แบคทีเรียมีทั้งกลุ่มมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์) ทำให้แบคทีเรียกลุ่มที่มีประโยชน์เกิดการแบ่งตัวมากขึ้น
ทำให้แบคทีเรียในกลุ่มที่เป็นอันตรายต่อร่างกายลดน้อยลง
เมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยได้
แก่นตะวันจึงเป็นสารเส้นใยอย่างเดียวที่ไม่ให้แคลอรี่
สารเส้นใยดังกล่าวจึงช่วยทำให้อยู่ท้องได้นาน กินอาหารได้น้อยลง กินแล้วไม่อ้วน
จึงช่วยลดน้ำหนักไปได้ในตัว
และยังช่วยดูดซับน้ำมันและน้ำตาลที่เราอาจรับประทานเกินออกไป
จึงสามารถช่วยป้องกันโรคไขมันในเส้นเลือดสูงได้อีกด้วย โดยมีผลงานวิจัยที่น่าสนใจดังนี้
·
หนูทดลองที่กินอาหารผสมกับสารอินนูลินเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ พบว่าน้ำหนักตัวของหนูจะน้อยลงกว่าหนูปกติที่ไม่ได้รับอินนูลินมากถึง
30%
·
ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูง
หากได้รับอินนูลินเข้าไปเป็นประจำจะช่วยทำให้ไขมันในเลือดลดลง (งานวิจัยของคอเซ 2000)
·
ผู้ที่ได้รับสารอินนูลินจะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานน้อยกว่าคนที่กินน้ำตาลมากถึง
40% จึงแสดงให้เห็นว่าการรับประทานแก่นตะวันเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี
(ฮาตะ 1983)
ลักษณะของแก่นตะวัน
·
ต้นแก่นตะวัน หรือ พืชแก่นตะวัน จัดเป็นพืชล้มลุก มีหัวสะสมอาหาร ลักษณะเป็นตะปุ่มตะป่ำ
ผิวไม่เรียบ คล้ายหัวขิงอวบและหัวข่า แต่มีหลากหลายสี เช่น สีเหลือง สีขาว สีแดง
และสีม่วง แต่โดยทั่วไปแล้วเปลือกจะมีสีน้ำตาลอ่อน เนื้อในมีสีขาว
เนื้อกรอบคล้ายแห้วดิบ การเจริญเติบโตของแก่นตะวันจะมีอยู่ 2 ช่วง ช่วงแรกนับตั้งแต่ตอนปลูกจนถึงออกดอกครั้งแรก
แก่นตะวันจะสะสมอาหารในใบและลำต้น หรือที่เรียกว่า หัวแก่นตะวัน หรือ ว่านแก่นตะวัน และช่วงที่สองหลังจากดอกแรกบานจนถึงระยะเก็บเกี่ยว
ใบจะหลุดล่วง อาหารสะสมที่ใบก็จะถูกส่งไปที่หัว ซึ่งหัวสามารถนำมารับประทานได้
·
·
ดอกแก่นตะวัน ลักษณะเป็นทรงกลมแบน ออกดอกเป็นช่อ
ดอกสีเหลือง คล้ายกับดอกทานตะวันหรือบัวตอง
สรรพคุณของแก่นตะวัน
1.
ชาวอินเดียนแดงปลูกต้นแก่นตะวันไว้รับประทานหัว
โดยมีสรรพคุณช่วยทำให้เจริญอาหาร
2.
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ช่วยลดการติดเชื้อ
เพราะสารอินนูลินจะช่วยลดปริมาณของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหาร
อย่างเชื้ออี.โคไล (E.Coli) และโคลิฟอร์ม (Coliforms) และในขณะเดียวกันยังไปช่วยเพิ่มการทำงานของแบคทีเรียกลุ่มที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายให้เจริญเติบโตดีขึ้นอีกด้วย
เช่น บิฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) และแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus)
3.
ช่วยป้องกันอาการภูมิแพ้ การแพ้อาหาร โดยเฉพาะในเด็ก
4.
แก่นตะวันลดความอ้วน ช่วยลดน้ำหนักและความอ้วน
ภายในหัวจะมีน้ำประมาณ 80% และมีคาร์โบไฮเดรตประมาณ 18% ซึ่งคาร์โบไฮเดรตส่วนใหญ่จะเป็นอินนูลิน (Inulin) ซึ่งอินนูลินเป็นสารเยื่อใยอาหารที่ให้ความหวานได้
แต่จะไม่ถูกย่อยในกระเพาะและลำไส้เล็ก จึงสามารถอยู่ในระบบทางเดินอาหารได้นาน
จึงช่วยทำให้ไม่รู้สึกหิว ทำให้รับประทานอาหารได้น้อย
สามารถช่วยควบคุมพลังงานที่ได้รับต่อวันได้เป็นอย่างดี
จึงช่วยลดความอ้วนและป้องกันโรคเบาหวานไปด้วยในตัว ซึ่งมีงานวิจัยพบว่าหนูที่ได้รับสารนี้เป็นเวลา
3 สัปดาห์ น้ำหนักตัวของมันจะลดลงมากกว่าหนูปกติถึง 30% โดยดร.ครรชิต จุดประสงค์ นักวิชาการประจำสถาบันโภชนาการ
มหาวิทยาลัยมหิดล
ยังระบุด้วยว่าแก่นตะวันสามารถช่วยลดความอ้วนได้ดีกว่าพืชลดความอ้วนชนิดอื่น ๆ
ที่คนไทยรู้จักกันดีเมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน อย่างเช่น หญ้าหมาน้อย หัวบุก
และเม็ดแมงลัก เป็นต้น
5.
ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
เนื่องจากแก่นตะวันมีสารประกอบเชิงซ้อนกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานต่ำกว่าคาร์โบไฮเดรตทั่วไป
มีลักษณะคล้ายแป้ง แต่มีคุณสมบัติในการรักษาสมดุลของสารอาหารที่รับประทาน
โดยสามารถรับประทานได้มากขึ้น แต่ยังช่วยคงระดับพลังงานให้คงที่ได้
ทำให้รู้สึกอิ่มนาน
ซึ่งไม่เหมือนกับแป้งทั่วไปที่ร่างกายย่อยสลายแล้วถูกดูดซึมเข้าไปสะสมเป็นไขมันแล้วทำให้อ้วน
จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่กำลังประสบปัญหาภาวะน้ำหนักเกิน
6.
ช่วยป้องกันไขมันในเลือดสูง
เพราะเส้นใยของแก่นตะวันจะช่วยดูดซับน้ำมันและน้ำตาลที่เรารับประทานเกินไว้
ไม่ว่าจะเป็นคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ หรือไขมันเลว
ที่เรารับประทานเข้าไปทิ้งออกทางอุจจาระ
และยังมีงานวิจัยที่ระบุว่าผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไดร์สูง
หากได้รับอินนูลินเป็นประจำก็จะช่วยทำให้ไขมันในเส้นเลือดลดลงได้
7.
ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากเส้นใยของแก่นตะวันเป็นตัวช่วยดูดซับไขมันที่เป็นโทษต่อร่างกายและเป็นสาเหตุของการเกิดโรคดังกล่าวทิ้งออกทางอุจจาระ
8.
ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
และป้องกันโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดี เนื่องจากแก่นตะวันมีแคลอรี่ต่ำ
ไม่ส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด แม้จะรับประทานในปริมาณมาก
จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
หากรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยมีงานวิจัยที่ระบุว่าผู้ที่ได้รับสารอินนูลินเป็นประจำจะมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานน้อยกว่าคนที่กินน้ำตาลมากถึง
40%
9.
ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
ช่วยในการทำงานของลำไส้ให้เป็นปกติ และช่วยบำรุงสุขภาพของลำไส้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี
เพราะผู้ที่ได้รับสารอินนูลินเป็นประจำ จะทำให้ลำไส้ใหญ่จะแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเพิ่มมากขึ้น
และมีปริมาณของแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรือแบคทีเรียที่เป็นตัวก่อโรคให้ที่ลดลง
ทำให้แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดแก๊สกลิ่นเหม็นในร่างกายลดลง
หรือแบคทีเรียที่กินซากเนื้อสัตว์ตัวสร้างสารก่อมะเร็งในลำไส้ใหญ่อย่างอีโคไลก็ลดน้อยลงด้วยเช่นกัน
10.
ช่วยกระตุ้นการดูดซึมของแร่ธาตุหลายชนิด
ช่วยปรับสภาพของลำไส้ให้เหมาะสมต่อการดูดซึมแร่ธาตุบางชนิด
ที่ไม่สามารถดูดซึมได้ในลำไส้เล็ก
และช่วยให้ลำไส้ใหญ่สามารถดูดซึมแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการช่วยดูดซึมธาตุแคลเซียมได้มากถึงร้อยละ
20% รวมไปถึงธาตุเหล็ก ฯลฯ
11.
ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย ช่วยในขับถ่าย
ช่วยทำความสะอาดลำไส้ ช่วยเก็บกวาดของเสียในระบบทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี
แก้อาการท้องผูกได้ เนื่องจากทำให้อุจจาระมีกากใยมากขึ้น และยังช่วยลดกลิ่นเหม็นของอุจจาระได้อีกด้วย
12.
สมุนไพรแก่นตะวัน สรรพคุณช่วยลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง
แก้อาการท้องเสีย
13.
สรรพคุณแก่นตะวัน ช่วยกระตุ้นการหลั่งของน้ำดี
14.
แก่นตะวัน สรรพคุณช่วยในการขับปัสสาวะ
15.
ช่วยป้องกันสารพิษอย่างโลหะหนัก เช่น สารตะกั่ว
คำแนะนำ : แม้จะมีข้อดีอยู่หลายประการ แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง เนื่องจากแก่นตะวันมีคุณสมบัติของเส้นใยอาหารสูง
การรับประทานสารสกัดในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น
มีอาการไม่สบายท้อง จุกเสียดแน่นท้อง ท้องเสีย ท้องอืดท้องเฟ้อ
หรือมีอาการคลื่นไส้ เป็นต้น ซึ่งอาการดังกล่าวจะพบได้น้อยและไม่มีผลกระทบต่อผู้รับประทานมากนัก
หากคุณรับประทานสารสกัดดังกล่าวในปริมาณที่เหมาะสม
หรือเลือกรับประทานในรูปของแก่นตะวันสดในรูปของอาหาร
แถมยังช่วยคงคุณค่าของสารอาหารและเส้นใยไว้อย่างครบถ้วนอีกด้วย ดังนั้นการเลือกรับประทานแบบสด
ๆ จึงมีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด
ประโยชน์ของแก่นตะวัน
1.
แก่นตะวันมีประโยชน์อย่างไร ? หัวแก่นตะวันจัดเป็นอาหารที่ดีและมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ
เพราะเป็นอาหารเสริมสุขภาพอย่างหนึ่ง
เนื่องจากในหัวของแก่นตะวันนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย
ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น เช่น มีวิตามินบีรวม แคลเซียม
ธาตุเหล็กที่สูง เป็นต้น
2.
ประโยชน์แก่นตะวัน ช่วยลดกลิ่นปากจากเชื้อแบคทีเรีย
3.
เนื่องจากดอกแก่นตะวัน
มีดอกที่สวยงามจึงมีการเพาะปลูกไว้เป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นพืชเพื่อการท่องเที่ยว
เพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจได้
เพราะมีความสวยงามไม่แพ้ทุ่งบัวตองหรือทุ่งทานตะวันเลยทีเดียว
4.
หัวใช้รับประทานสด ๆ เป็นผัก ซึ่งหัวสดจะมีรสชาติคล้าย ๆ
กับแห้ว หรือนำมาประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน ทำเป็นขนมหรือใช้ต้มรับประทาน
หรือนำไปผัดหรือใช้ยำก็ได้เช่นกัน
5.
หัวแก่นตะวันสามารถนำมาใช้เป็นอาหารแทนมันฝรั่งได้
เพราะมีเนื้อสัมผัสเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่ามีรสหวานกว่า
จึงเหมาะสำหรับใส่ในสลัดผักต่าง ๆ
6.
หัวแก่นตะวันสามารถนำมาเป็นผง คือเอาหัวมาตัดเป็นชิ้นเล็ก
ๆ นำมาตากแดดให้แห้งแล้วอบ เมื่ออบเสร็จก็นำมาป่นเป็นผงเล็ก ๆ ซึ่งผลดังกล่าวสามารถนำไปผสมกับแป้งต่าง
ๆ เป็นผลิตภัณฑ์ได้ เช่น ขนมปัง ขาไก่ คุกกี้ เป็นต้น
จะช่วยทำให้มีรสชาติที่ดีและมีกลิ่นหอม แถมยังคงปริมาณของอินนูลินไว้ได้อีกด้วย
7.
มีการนำหัวแก่นตะวันมาสกัดเอาสารอินนูลิน
ใช้ผสมในผลิตภัณฑ์นมผงเด็ก โดยจะมีสารอินนูลินผสมอยู่ด้วยราว 1-2% ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้สังเกต
8.
หัวแก่นตะวัน
ใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นสุราและเอทานอลได้ ซึ่งในประเทศเยอรมัน
รัฐบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์ก จะมีการใช้หัวแก่นตะวันในการผลิตสุรากันมากกว่า 90% ซึ่งสุราชนิดนี้ก็คือ Topi
หรือ
Rossler
9.
ลำต้นแก่นตะวัน ก็สามารถนำไปหมักทำเป็นเอทาอลได้เหมือนกัน
10.
ลำต้นและใบของแก่นตะวัน สามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้
และยังมีสารอาหารที่ช่วยในการย่อยได้หมดมากกว่าถั่วอัลฟัลฟา
(แต่จะมีโปรตีนน้อยกว่า)
11.
หัวใช้เป็นอาหารเสริมในสัตว์เลี้ยงได้
เพราะมีผลต่อการเจริญเติบโต ทำให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพแข็งแรง
ช่วยลดจุลินทรีย์ที่เป็นโทษในระบบทางเดินอาหาร ช่วยลดกลิ่นเหม็นของมูลสัตว์
ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้สัตว์เลี้ยง จึงช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะไปด้วยในตัว
จึงถูกมีการนำมาใช้เป็นสมุนไพรของสัตว์เลี้ยง
12.
การเสริมสารสกัดอินนูลินลงไปในอาหารของสัตว์ เช่น สุนัข
สุกร ไก่ จะช่วยปริมาณของแอมโมเนียในระบบทางเดินอาหารและในสิ่งขับถ่ายได้
จึงช่วยทำให้ลดปริมาณของสารที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นในสิ่งขับถ่าย
ทำให้กลิ่นเหม็นของอุจจาระลดลงอย่างมากจนถึงไม่มีกลิ่นเลย
13.
ในเชิงอุตสาหกรรม
มีการใช้หัวแก่นตะวันมาเป็นวัตถุดิบในการสกัดเป็นน้ำตาลอินนูลิน (Inulin) เพราะสามารถพบได้ในพืชชนิดนี้มากถึง 16-39% และยังมีการใช้อินนูลินเพื่อผลิตเป็นน้ำตาลเชื่อมฟรุคโตสเข้มข้น
หรือสารให้ความหวานในอุตสาหกรรมอาหาร
14.
แก่นตะวันเป็นพืชที่ให้พลังงานสูง หัวสด 1 ตัน สามารถใช้ผลิตเป็นเอทานอลบริสุทธ์ 99.5% ได้มากถึง 100
ลิตร
สามารถใช้เป็นพลังงานทดแทนด้วยการนำไปใช้ผสมกับน้ำมันเบนซิน
ใช้ผลิตแก๊สโซฮอล์ได้อีกด้วย
15.
แก่นตะวันเป็นพืชเศรษฐกิจที่กำลังได้รับความนิยม
เพราะสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย ผลิตภัณฑ์แก่นตะวัน เช่น แก่นตะวันแบบบรรจุถุง แก่นตะวันบดผง แก่นตะวันอบแห้ง
ชาแก่นตะวัน ว่านแก่นตะวันแคปซูล สบู่แก่นตะวัน เป็นต้น
คุณค่าทางโภชนาการของแก่นตะวันดิบ
ต่อ 100 กรัม
·
พลังงาน 73 กิโลแคลอรี่
·
คาร์โบไฮเดรต 17.44
กรัม
·
น้ำตาล 9.6 กรัม
·
เส้นใย 1.6 กรัม
·
ไขมัน 0.01 กรัม
·
โปรตีน 2 กรัม
·
วิตามินบี1
0.2 มิลลิกรัม
17%
·
วิตามินบี2
0.06 มิลลิกรัม
5%
·
วิตามินบี3
1.3 มิลลิกรัม
9%
·
วิตามินบี5
0.397 มิลลิกรัม
8%
·
วิตามินบี6
0.077 มิลลิกรัม
6%
·
วิตามินบี9
13 ไมโครกรัม
3%
·
วิตามินซี 4 มิลลิกรัม 5%
·
ธาตุแคลเซียม 14 มิลลิกรัม 1%
·
ธาตุเหล็ก 3.4
มิลลิกรัม
26%
·
ธาตุแมกนีเซียม 17 มิลลิกรัม 5%
·
ธาตุฟอสฟอรัส 78 มิลลิกรัม 11%
·
ธาตุโพแทสเซียม 429
มิลลิกรัม
9%
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่
(ข้อมูลจาก :USDA Nutrient database)
วิธีกินแก่นตะวัน
·
แก่นตะวันสามารถรับประทานได้ทั้งแบบปอกเปลือกและไม่ปอกเปลือก
แต่การรับประทานทั้งเปลือกก็ควรล้างให้สะอาดก่อน
เนื่องจากมีแง่งเยอะอาจจะเศษดินติดอยู่
หรือจะแช่น้ำไว้สักพักเพื่อให้ดินอ่อนตัวก่อนนำมาล้างก็ได้
ถ้าจะให้ดีก็ใช้แปรงสีฟันเล็ก ๆ นำมาขัดอีกรอบเพื่อความสะอาด
·
สำหรับวิธีการปอกเปลือกแก่นตะวัน
ก็ใช้วิธีเดียวกันกับการปอกเปลือกมะม่วง โดยใช้มีดสองคมขนาดเล็ก
(ด้ามสีส้มที่เราคุ้นเคยกันดี) ในการปอกเปลือก
ถ้ามีแง่งก็ให้ใช้มีดตัดออกมาก่อนแล้วค่อยปอก
·
สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยรับประทาน
ควรรับประทานในปริมาณที่ไม่มากก่อนในช่วงแรก หรือทานสดครั้งละ 1 ขีด เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพก่อน
·
สำหรับการเก็บรักษา สำหรับแก่นตะวันแบบปอกเปลือก
ก็ให้เก็บไว้ในกล่องพลาสติกที่ปิดฝามิดชิดไม่ให้อากาศเข้า หรือจะใส่ถึงซิป
กล่องพลาสติกก็ได้ แล้วนำไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา
ก็จะช่วยทำให้คงความสดและไม่ทำให้เหี่ยวเร็ว
·
แก่นตะวันที่ไม่ปอกเปลือก สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานถึง
10 สัปดาห์ หรือมากกว่าถ้าไม่มีเชื้อรา
แต่หากเก็บไว้นานสีอาจจะเปลี่ยนหรือเหี่ยวทำให้ดูไม่น่ารับประทาน
ยิ่งเก็บไว้นานคุณภาพก็ยิ่งน้อยลง
การรับประทานแบบสดใหม่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
·
การใช้หัวแก่นตะวันในการประกอบอาหาร
อาจพบว่าสีของหัวเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำคล้ำ
สาเหตุอาจมาจากการปอกเปลือกทิ้งไว้นาน
ดังนั้นเมื่อปอกเปลือกหรือหั่นเสร็จแล้วให้เก็บแช่ทิ้งไว้ในน้ำเปล่าก่อนที่จะนำไปประกอบอาหาร
ช่ะช่วยป้องกันปัญหาดังกล่าวได้
รับบดสมุนไพร อบแห้งสมุนไพร
ตอบลบสนใจติดต่อ 083-0121011 (คุณ เบิร์ด)